A Flood Tale

“ตอนนี้น้ำลดหมดแล้วเหรอ” ฉันถามคนขับ ขณะนั่งอยู่บนเบาะหลังของรถแท็กซี่ที่กำลังแล่นไปบนสะพานข้ามแม่น้ำมูล เพื่อข้ามจากฝั่งอำเภอเมืองอุบลราชธานีไปยังอำเภอวารินชำราบ

“อ๋อ ลดหมดแล้วครับ เนี่ย ตอนนั้นท่วมถึงตรงที่เป็นรอยนั่นเลย เห็นไหมครับ” คนขับตอบพลางชี้ให้ดูร่องรอยที่ยังคงเหลือทิ้งเป็นคราบเขรอะอยู่ตามตลิ่ง และข้างฝาของบ้านเรือนที่เรียงรายอยู่ระหว่างทางที่รถวิ่งผ่านไป ฉันมองดูร่องรอยเหล่านั้น แล้วพยายามจินตนาการว่าตอนที่น้ำท่วมสูงขนาดนั้น สภาพแถวนี้น่าจะเป็นอย่างไร…คงเป็นภาพที่เวิ้งว้างน่าดู แผ่นน้ำคงกว้างออกไปสุดหูสุดตาไม่ต่างจากน้ำทะเล

ภาพจินตนาการในหัวขณะนั้น ทำให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงเวลาใกล้เคียงกันนี้เมื่อแปดปีที่แล้ว เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ที่กรุงเทพฯคราวนั้น คงไม่ต้องเล่าว่าความหายนะและความเดือดร้อนนั้นขนาดไหน คนที่ผ่านเหตุการณ์ช่วงนั้นมาได้ คงจำได้ดีไม่แพ้ชาวอุบลฯที่นี่เมื่อสองเดือนที่ผ่านมา ตอนนั้นงานการหลายอย่างต่างหยุดชะงัก ทุกอย่างถูกเลื่อนออกไปก่อน แม้แต่คนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมอย่างฉันก็ต้องพลอยหยุดงานไปด้วย ด้วยความที่ว่างจัดจึงเริ่มออกไปทำงานอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่างๆ ทั้งตักทรายบรรจุกระสอบทำถุงทราย ขนกระสอบก่อทำนบกั้นน้ำ แพ็คถุงยังชีพ ไปจนถึงทำอาหารเลี้ยงผู้ประสบภัยและอาสาสมัครต่างๆ

สายวันหนึ่งของปลายเดือนตุลาคม ปี 2554 ช่วงที่ระดับน้ำกำลังขึ้นถึงจุดสูงสุด พร้อมมวลน้ำที่ไหลบ่าหนุนเนื่อง ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวด้วยความเร่งรีบ เพราะนัดกับเพื่อนไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ว่าวันนี้เราจะไปทำอาหารและแพ็คถุงยังชีพกันที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ตะวันขึ้นสูงเกือบจะตรงหัวเพราะสายโด่งแล้ว ก่อนออกจากบ้านฉันเหลือบไปเห็นผ้าพันคอยี่ห้อ SODA ที่พี่ดีไซเนอร์ของแบรนด์ให้มาเป็นของขวัญตั้งแต่เมื่อวันปีใหม่ ยังไม่ได้แกะใช้สักที เพราะปกติเมื่อก่อนตัวเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบพันผูกผ้าอะไรวุ่นวาย ไหนๆวันนี้ก็แดดแรงขนาดนี้ เอาผ้าไปโพกหัวกันแดดดีกว่า พอคว้าผ้าได้ก็เดินกึ่งวิ่งออกมาถึงปากซอย นึกอยากดมยาดมขึ้นมาก็เลยเดินเข้าไปซื้อยาดมที่แฟมิลี่มาร์ทก่อนจับรถซิ่งหาเพื่อน

ปรากฏว่าไปถึงตลาดก็วายเสียแล้ว เพราะที่นี่เขาเริ่มงานตั้งแต่เช้าตรู่ถึงเที่ยง ความรู้สึกผิดในใจที่รู้สึกว่าตัวเองช่างเปล่าประโยชน์เสียเหลือเกินทำให้ต้องหาที่ลงให้ได้ เพื่อนบอกว่าที่สภากาชาดยังต้องการแรงงานจากอาสาสมัครอยู่ เราจึงมุ่งหน้าไปที่นั่น แต่เมื่อไปถึงพบว่า แรงงานจากอาสาสมัครนั้นมีมากเกินเนื้องาน เราเดินไปที่ศาลาพระเกี้ยว จุฬาฯ แล้วก็ได้ทำงานสมใจ ทั้งแพ็คถุงยังชีพ และขนข้าวของต่างๆนานา ระหว่างที่แพ็คของอยู่ ได้ยินประกาศขอแรงขนกระสอบข้าวสาร เราเลยอาสาไปช่วย โดยนั่งรถกระบะจากจุฬาฯจะไปเอาข้าวสารที่สภากาชาด บนรถมีเด็กหนุ่มสาวราวหกเจ็ดคนได้ นั่งรถไปได้สักพักน้องผู้หญิงข้างๆก็ขอลงกลางทาง เพราะเพื่อนโทรมาตามว่ารถจีเอ็มซีของทหารที่จะเอาของไปแจกพื้นที่น้ำท่วมเที่ยวสุดท้ายจะออกแล้ว ฉันได้ยินเลยขอตามไปด้วย เพราะตั้งแต่ช่วยงานจิตอาสามาหลายวัน ก็ไม่เคยได้ลงพื้นที่จริง ใจนั้นอยากจะไปเห็นว่าเขาอยู่กันอย่างไร เดือดร้อนแค่ไหน

พอขึ้นไปบนรถจีเอ็มซีถึงได้ทำความรู้จักเด็กผู้หญิงที่นั่งข้างๆและเพื่อนของเธออีกคน ถามไถ่ชื่อเสียง มหาวิทยาลัย บ้านช่องกันคร่าวๆ แล้วเราก็เดินทางไปปฏิบัติภารกิจร่วมกันจนมืด ขากลับจากที่จะต้องกลับมาที่จุฬาฯ พี่ทหารแจ้งว่าจะผ่านสถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ (ซึ่งเพิ่งจะเปิดให้บริการไม่นาน) ใครใคร่จะลงตรงนี้ก็ลง ฉันและน้องสองคนเลยของลงพร้อมกับคนอื่นๆตรงนี้ ขากลับน้องๆชวนหาอะไรกินแถวนั้น เรามาจบกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางใต้สถานีรถไฟฟ้า

ฉันนั่งหันหน้าออกไปทางถนน ก๋วยเตี๋ยวยังไม่ทันจะเข้าปาก ก็ได้ยินเสียงดังโครม เงยหน้าขึ้นไปเห็นรถยนต์คันหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนที่จะพลิกตะแคงแล้วพุ่งตัวครูดไปตามถนน ด้วยความเร็วขนาดที่ทำให้เกิดประกายไฟแลบเป็นทางยาวราวกับหนัง Fast And Furious ถึงกับอุทานขึ้นมาในใจว่า “อ้าว รถชน” พร้อมกับคำถามมากมายในหัวที่ตามมาในเสี้ยววินาที

ยังไงดี?

จะมีใครเป็นอะไรไหม?

เราควรจะไปช่วยเขาหรือเปล่า?

ถ้าเราไม่ช่วยเขา แล้วใครจะช่วย?

ถ้าเราไม่ช่วยเขาตอนนี้ แล้วจะช่วยตอนไหน?

สมองประมวลคำตอบทั้งหมดในหนึ่งวินาทีถัดมา ตะเกียบที่คีบก๋วยเตี๋ยวกำลังจะเข้าปากถูกวางลง พร้อมกับสองขาที่วิ่งออกไปบนถนน น้องสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกันวิ่งตามมา ฉันหันไปบอกน้องที่วิ่งรั้งท้ายว่าให้โทรแจ้งตำรวจหรือกู้ภัย ไม่ทันได้หายใจตัวเองก็พุ่งไปถึงรถที่ตะแคงอยู่บนถนน พร้อมกับวินมอเตอร์ไซค์แถวนั้นที่กรูกันเข้ามาช่วย

“ดับเครื่อง เอากุญแจออก” ฉันตะโกนบอก เพราะเห็นไฟยังลุกอยู่เป็นทางยาวตามแนวที่รถไถลมา พลางช่วยกันดึงคนเจ็บในรถออกมาทีละคน คนแรกถูกดึงออกมาพร้อมกับบาดแผลและเลือดที่ไหลโชก ถึงจะดูแล้วไม่สาหัส แต่ก็น่าจะเจ็บเอาการ ไวกว่าความคิด ฉันปลดผ้าพันคอตัวเองออกมาพันแผลที่แขนแล้วบอกให้เจ้าตัวกดห้ามเลือดไว้ ความรู้สมัยเรียนลูกเสือได้เอาออกมาใช้ก็ตอนนี้ วัยรุ่นหญิงอีกคนถูกอุ้มออกมาจากรถ เพราะหมดสติ “ใครมียาดม” ฉันตะโกนถาม พลางก็นึกขึ้นได้ว่าในกระเป๋ากางเกงตัวเองมียาดมที่เพิ่งซื้อเมื่อเช้าอยู่ จึงควักออกมายื่นให้ระหว่างทำการปฐมพยาบาล พลางหันไปบอกน้องอีกคนให้เรียกรถแท็กซี่ คนเจ็บรายสุดท้ายถูกช่วยออกมาพอดีกับที่แท็กซี่มาจอดเทียบ แล้วเราก็ลำเลียงคนเจ็บทั้งหมดขึ้นรถ บอกคนขับให้พาไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ตำรวจและกู้ภัยยังมาไม่ทันถึงที่เกิดเหตุ เราก็ลำเลียงคนเจ็บออกไปหมดแล้ว เหลือแค่คนขับที่บาดเจ็บเล็กน้อย รอให้การกับตำรวจ

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที แล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยดี เราเดินกลับมาจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวที่ยังไม่ทันจะได้กินแบบงงๆ ฉันนึกแปลกใจในความใจเย็นและสติของตัวเอง เพราะเพิ่งเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ครั้งแรก แต่สามารถจัดการและอำนวยการทุกอย่างได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เหมือนสมองถูกโปรมแกรมมาแล้วเป็นลำดับขั้น 1,2,3,4,5 อย่างไรอย่างนั้น เราสามคนเดินขึ้นรถไฟฟ้าแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก แค่รู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือคนประสบเหตุเดือดร้อน และคิดว่าวันนี้เป็นวันที่ใช้ชีวิตคุ้มค่าที่สุดตั้งแต่เกิดมา จนเมื่อจะปิดไฟเข้านอนนั่นแหละ ถึงได้มีความคิดและคำถามแวบเข้ามาในหัวเป็นลำดับๆ

ทำไมเราถึงไปอยู่ที่วงเวียนใหญ่ ทั้งที่จริงๆแล้ววันนี้เราจะไปแค่ม.กรุงเทพ?

ทำไมฉันถึงไปนั่งกินข้าวกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันแทนที่จะกลับบ้าน ทั้งที่ปกติตัวเองไม่ใช่คนอัธยาศัยดีขนาดนั้น?

ทำไมเมื่อเช้าถึงอยากซื้อยาดม?

ทำไมวันนี้อยากพันผ้าพันคอ ทั้งที่ปกติก็ไม่ได้แต่งตัวแบบนั้น แล้วก่อนหน้านี้ผ้าพันคอผืนนั้นก็ไม่เคยถูกแกะออกมาใช้เลย?

คำถามที่วนอยู่ในหัวท่ามกลางความมืดในคืนนั้น ทำให้นึกถึงคำพูดที่ว่า “ไม่มีเหตุบังเอิญบนโลกใบนี้ ทุกอย่างมีกรรม มีวาระของมัน” หลายคนอาจจะบอกว่าจักรวาล พระเจ้า หรืออะไรก็แล้วแต่ ได้จัดสรรเหตุการณ์ที่อยู่เหนือความบังเอิญทุกอย่าง อาจจะมีใครหรืออะไรสักอย่างกำหนดให้ได้ไปเจอกับเด็กผู้หญิงสองคน เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือคนอีก 5 คน ที่ตรงนั้น ณ วันนั้น แม้ว่าเหตุการณ์และสถานที่เหล่านั้นทั้งหมดจะไม่ได้อยู่ในแผนการชีวิตของวันนั้นเลย ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และฉันเองก็ยังไม่เชื่อเสียทีเดียว แต่เรื่องราวทั้งหมดก็ยังเป็นปริศนาคาใจจนถึงทุกวันนี้ และน่าแปลกที่ต่อให้นึกอย่างไร ก็จำชื่อและใบหน้าของน้องสองคนที่ร่วมวีรกรรมในวันนั้นไม่ได้ ทุกอย่างเลือนหายไปพร้อมกับผ้าพันคอผืนนั้น ที่น้องคนเจ็บถามก่อนรถแท็กซี่คันนั้นจะแล่นออกไปว่า “ผมจะคืนผ้าให้พี่ยังไง”

Bernard Beitman ศาตราจารย์มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เคยเขียนไว้ในเว็บ Psychology Today ถึงคำกล่าวที่ว่า “There are no coincidences” หรือความไม่มีซึ่งเหตุบังเอิญว่า ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคล เพราะคำว่า ‘เหตุบังเอิญ’ นี้ โดยตัวมันเองแล้วก็มีความหมายย้อนแย้งอยู่ในที พจนานุกรมให้นิยามว่า เหตุบังเอิญคือเหตุการณ์ตั้งแต่สองเหตุการณ์ขึ้นไปที่มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างเหนือความคาดหมาย และปราศจากคำอธิบายที่ชัดเจน โดยความหมายของนิยาม คำว่าเหตุบังเอิญนี้จึงเสมือนการเปิดโอกาสให้กับความบังเอิญที่ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า ในทางสถิติเชื่อว่า เหตุบังเอิญต่างๆสามารถอธิบายได้ด้วยข้อมูลทางสถิติตัวเลข ซึ่งในจำนวนประชากรมากมายบนโลกนี้นั้น เรื่องแปลกประหลาดสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ จึงสามารถอธิบายได้ว่า เหตุบังเอิญนั้นคือเรื่องของการสุ่มตัวอย่างนั่นเอง

ส่วนคนที่เชื่อในเรื่องเร้นลับเหนือธรรมชาติ เลือกที่จะเชื่อว่าเหตุบังเอิญคือข้อความซุกซ่อนที่ถูกส่งถึงตัวเองโดยเฉพาะ และด้วยเหตุผลที่ยากจะอธิบาย การอ้างพระเจ้า จักรวาล หรือสิ่งเร้นลับ คือการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบและหลอกตัวเองอยู่ในที เราใช้สิ่งเหล่านั้นแทนค่าสมการ X ให้กับโจทย์ที่ยังหาคำตอบไม่ได้ เมื่อยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนแล้ว นิยามด้านภาษาและสถิติจึงถือว่า ‘เหตุบังเอิญ’ เป็นสิ่งที่มีอยูู่จริง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเลือกให้เหตุผลใดในการอธิบายถึงเรื่องราวบังเอิญต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเสียหายอะไร หากเราเลือกที่จะคิดว่าทั้งหมดก็แค่เรื่องบังเอิญที่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ หรือเลือกที่จะเปิดโอกาสให้กับความเป็นไปได้ในชีวิต ที่มาพร้อมกับข้อความจากจักรวาลที่ส่งมาถึงเรา ซึ่งไม่แน่ว่า ท้ายที่สุด เราอาจจะได้คำตอบที่กระจ่างชัดในใจของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งนิยามหรือคำอธิบายใดๆจากนักสถิติ

Begin typing your search term above and press enter to search. Press ESC to cancel.